ช่วงนี้คุณคงจะเริ่มได้ยินข่าวหนาหูเกี่ยวกับโปรแกรมใหม่ๆของค่าย Adobe
ที่เปลี่ยนชื่อเวอร์ชั่นเป็น
CC เช่น Photoshop CC (ย่อมาจาก Creative Cloud)
นั่นก็เพราะต่อไปหลังจากเวอร์ชั่น
CS6 หากคุณอยากจะได้โปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ๆ
ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการขายครั้งใหญ่สุดของ Adobe
ซึ่งก็มีทั้งคนเห็นด้วยและคนไม่เห็นด้วย
บางคนก็ถึงกับหาโปรแกรมอื่นมาใช้ทดแทน
หรือบางคนก็ยินดีกับการปรับเปลี่ยนด้วยหลายๆเหตุผลทางด้านราคาและการอัพเดท
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็จะกระทบกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์เต็มๆ
ที่จะหาเวอร์ชั่นใหม่ไม่ได้แล้ว
ก่อนจะมาเป็น Creative Cloud
Photoshop เวอร์ชั่นแรกสุดออกมาในปี
1990 มาสำหรับเครื่อง MAC เท่านั้น และต่อจากนั้นในปี 2003 Adobe ก็ได้ออกชุดผลิตภัณฑ์
Creative Suite ชุดแรกที่รวมๆหลายโปรแกรมเข้าด้วยกันและจัดเป็นชุดให้ตรงกับความต้องการ
เช่นชุด Creative Suite สำหรับนักออกแบบ สำหรับนักตัดต่อวิดิโอ รวมถึงชุดใหญ่สุดคือ
Adobe Master Collection ที่รวมทุกโปรแกรมที่มาพร้อมกับค่าตัวเฉียดแสนบาท ต่อ 1 License
ซึ่งถ้าคุณเป็น
Production House หรือบริษัทโฆษณาใหญ่ๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่หากคุณเป็นบริษัทที่พึ่งเริ่มต้น หรือ Freelance การจะต้องจ่ายเงินเยอะขนาดนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก
จนหลายๆคนไปใช้วิธีละเมิดลิขสิทธิ์
หรือใช้ซอฟต์แวร์อื่นมาทดแทนที่ทำได้อาจจะยังไม่เทียบเท่า
แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาหลังจาก CreativeSuite CS6 ได้ออกสู่ตลาดซักพัก Adobe ได้เริ่มทดลองการให้บริการ Creative Cloud
ด้วยแนวคิดที่เป็นรูปแบบของการสมัครสมาชิก
แทนที่จะเป็นการซื้อขาด ด้วยราคาเฉลี่ยประมาณ 50$ ต่อเดือน
(สัญญาสมัครเป็นต่อปี
และราคาจะแปรผันตามอัตราแลกเปลี่ยน) โดยให้สิทธิ์ผู้ใช้งานได้เข้าถึงเกือบทุกโปรแกรมของ
Adobe และใช้ได้ทั้ง MAC หรือ PC โดยยังมีการขายขาดในรูปแบบเดิมๆอยู่ด้วย
โดยเมื่อผู้ใช้งานสมัครสมาชิกแล้ว จะสามารถเลือก Download โปรแกรมที่ต้องการมาใช้บนเครื่องได้ทันที
(หลักการคล้ายๆ Stream) โดยเมื่อ Download สมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นจะต้องต่อเน็ทในการใช้งานอีก
แต่มาในปีนี้ Adobe ตัดสินใจในการมุ่งเข้าสู่รูปแบบของ
Creative Cloud เต็มตัว
ด้วยการประกาศผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นใหม่ๆออกมาสำหรับสมาชิก Creative
Cloud เท่านั้น
และหยุดการจำหน่ายในรูปแบบเดิมๆ นั่นหมายความว่า
ผู้ใช้จะไม่สามารถเลือกซื้อสินค้าเวอร์ชั่นใหม่ๆ
ในรูปแบบของการซื้อขาดได้อีกต่อไป
จะมีแค่สมาชิก Creative Cloud เท่านั้นที่ได้ใช้โปรแกรมของ
Adobe เวอร์ชั่นในอนาคต
ความกังวลเกี่ยวกับ Creative Cloud
แน่นอนว่าการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจครั้งนี้ย่อมก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจ
รวมถึงความกังวลเกี่ยกกับการใช้งานมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น
-
ถ้าวันนึงเน็ทมีปัญหาจะทำงานได้ยังไง
จะใช้โปรแกรมได้หรือเปล่า
-
จะโดนบังคับให้อัพเกรดทั้งๆที่ไม่ต้องการหรือเปล่า
ความเป็นจริงเกี่ยวกับ Adobe Creative Cloud
คนหลายคนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Creative
Cloud ว่าต้องรันอยู่บนอินเตอร์เน็ทตลอดเวลาในการใช้งาน
หรือมีข้อจำกัดมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคือ
-
สมาชิกจะต้องการ การต่ออินเตอร์เน็ทแค่การ Download
ตัวติดตั้ง
จากนั้นเมื่อติดตั้งเสร็จทุกอย่างจะรันบนเครื่องของสมาชิก
ไม่ต่างกับเวอร์ชั่นเก่าๆ
-
สมาชิกสามารถเลือกได้ว่าจะอัพเกรดหรือไม่อัพเกรดเมื่อมีโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ๆออกมา
-
สามารถหยุดการเป็นสมาชิกได้
ทำให้สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนซอฟต์แวร์ได้อิสระ (เช่นปีนี้งานเยอะ
สมัครสมาชิกเพิ่ม 5 เครื่อง พอปีหน้าจบ Project ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสมาชิก แต่หากเป็นสมัยก่อน
ซื้อมา 5 กล่องปีถัดไปจะไม่ใช้ต่อ จะขายมือสองก็ไม่ได้)
-
ได้สิทธิ์ในการใช้เกือบทุกโปรแกรมเทียบเท่ากับ MasterCollection และยังมีโปรแกรมพิเศษที่ไม่มีในชุด เช่น Lightroom, Edge เป็นต้น
รวมถึงได้ใช้บริการใหม่ๆที่อยู่ในเครือ Adobe เช่น Behance,
Digital Publishing Suite Single Edition ฟรีเป็นต้น
-
อัพเกรดฟรีตลอดอายุสมาชิก
ไม่ต้องมากังวลว่าวันนึงซอฟต์แวร์ออกใหม่
แล้วถ้าจะอัพเกรดสมัยก่อนต้องเสียเงินประมาณ 30-40% ของมูลค่าเต็มในการอัพเกรด
-
รอบการออกซอฟต์แวร์ไวขึ้น เมื่อโปรแกรมไหนมีฟังก์ชั่นใหม่
เสร็จก็สามารถออกมาได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอรอบ 1 ปี หรือ 2
ปีแบบในสมัยก่อน
(เช่น Photoshop มีฟังก์ชั่นใหม่แล้ว แต่ยังออกไม่ได้
ต้องรอโปรแกรมอื่นๆเช่น Illustrator, InDesign พัฒนาเสร็จก่อนถึงจะออกพร้อมกัน)
แนวทางของ Adobe กับ Creative Cloud
จริงๆการตัดสินใจของ Adobe ครั้งนี้ค่อนข้างน่าแปลกใจถึงแม้ Microsoft
เองจะกล่าวว่า
รูปแบบของ Cloud Service จะเป็นอนาคตของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ แต่ทาง Microsoft
เองก็ยังเลือกจะ
ให้บริการทั้งแบบเดิม
และเพิ่มการให้บริการสมาชิก Office 365 เป็นทางเลือก
ในขณะที่ Adobe ตัดสินใจเด็ดขาดในการสร้างแนวทางของตนเองที่ชัดเจน
ซึ่งเสียงทัดทานของผู้ใช้ที่ต่อต้าน
เพิ่มขึ้นมาถึง
500,000 User ในช่วงเวลาไม่ถึงปีด้วยเหตุผลที่ว่าค่าบริการจ่ายเป็นปีถูกกว่าซื้อขาด
ทำให้ Adobe ยิ่งมั่นใจในแนวทางการขายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบนี้
รวมถึงความสามารถในการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์
เพราะผู้ใช้งานที่ต้องการจะใช้โปรแกรมของ Adobe ก็จะสามารถสมัครได้ง่ายขึ้นในราคาที่ถูกลง
ส่วนผู้ที่ตั้งใจจะละเมิด
ก็จะต้องเจอปัญหากับการหาซอฟต์แวร์ใหม่ๆมาใช้ไม่ได้นั่นเอง